เมนู

ยุคนัทธวรรค ปฏิสัมภิทากถา


ว่าด้วยปฏิสัมภิทา 4


[598] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุเบญจวัคคีย์
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด 2 ประการนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด
2 ประการเป็นไฉน ? คือ การประกอบความพัวพันกามสุขในกามทั้งหลาย
อันเป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 การประกอบการทำตนให้ลำบาก เป็นทุกข์ ไม่ใช่
ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมา-
ปฏิปทาอันไม่เกี่ยวข้องส่วนสุดทั้ง 2 ประการนี้นั้น ตถาคตตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ
ทำญาณ (เห็นประจักษ์รู้ชัด) ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคต
ตรัสรู้แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ
ตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน ? อริยมรรคมีองค์ 8 นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ
...สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทานี้นั้นแล ตถาคตตรัสรู้
แล้ว ทำจักษุ ทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ
ตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
[599] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ แม้ความเกิด
ก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความป่วยไข้ก็เป็นทุกข์ แม้ความตาย

ก็เป็นทุกข์ ความประจวบกับสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความ
พลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักเป็นทุกข์ แม้ความไม่ได้สมปรารถนา
ก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกข-
สมุทัยสัจนี้แล คือ ตัณหาอันให้เกิดในภพต่อไป อันสหรคตด้วยความกำหนัด
ด้วยสามารถความเพลิดเพลิน เป็นเหตุให้เพลินในอารมณ์นั้น ๆ ได้แก่กาม-
ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือ
ความดับตัณหานั้นแลโดยความสำรอกไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน
ความปล่อย ความไม่พัวพัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
อริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
[600] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย
ที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้ ฯลฯ เรา
กำหนดรู้แล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้น
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย
ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละ ฯลฯ เราละ
ได้แล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้น
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย

ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง ฯลฯ
เราทำให้แจ้งแล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้น
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลาย ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล
ควรเจริญ ฯลฯ เราได้เจริญแล้ว.
[601] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ยถาภูตญาณทัศนะมีวนรอบ 3 มีอาการ
12 ด้วยประการฉะนี้ ในอริยสัจ 4 ของเรา ยังไม่หมดจดดี เพียงใด เราก็
ยังไม่ปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา
และมนุษย์เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เมื่อใดแล ยถาภูตญาณทัศนะมี
วนรอบ 3 มีอาการ 12 ด้วยประการฉะนี้ ในอริยสัจ 4 ของเรา หมดจด
ดีแล้ว เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดา และมนุษย์ ก็แลญาณทัศนะเกิดขึ้นแก่เราว่า เจโตวิมุตติของเราไม่กำเริบ
ชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ ไม่มีการเกิดในภพต่อไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ชื่นชมยินดีพระพุทธภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะ
ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับ
เป็นธรรมดา.

ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักรแล้ว ภุมมเทวดา ก็
ประกาศก้องว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังธรรมจักรอันประเสริฐนี้ ที่สมณ-
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกให้เป็นไปไม่ได้ ให้เป็น
ไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เทวดาชั้นจาตุมมหาราช
ได้ฟังเสียงของภุมมเทวดาแล้ว ฯลฯ เทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นยามา เทวดา
ชั้นดุสิต เทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เทวดาผู้นับเนื่อง
ในหมู่พรหมก็ประกาศก้องว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังธรรมจักรอันประเสริฐ
นี้ ที่สมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้เป็นไป
ไม่ได้ ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี.
เพราะเหตุดังนี้แล โดยขณะระยะครู่เดียวนั้น เสียงก็บันลือลั่นไปจน
ตลอดพรหมโลก และหมื่นโลกธาตุนี้ ก็สะเทือนสะท้านหวั่นไหว อนึ่ง
แสงสว่างอย่างยิ่ง หาประมาณมิได้ ก็ปรากฏขึ้นในโลก ล่วงเสียซึ่งเทวานุภาพ
ของเทวดาทั้งหลาย.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า ท่านผู้เจริญ ภิกษุ
โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ท่านผู้เจริญ ภิกษุโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะ
อุทานดังนี้แล ท่านโกณฑัญญะจึงมีนามว่า อัญญาโกณฑัญญะ ดังนี้.
[602] จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ คำว่า จักษุเกิดขึ้น...แสง
สว่างเกิดขึ้นนี้ เพราะอรรถว่ากระไร ?
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่าเห็น คำว่า ญาณเกิดขึ้น เพราะ
อรรถว่ารู้ คำว่า ปัญญาเกิดขึ้น เพราะอรรถว่าทราบชัด คำว่า วิชชาเกิดขึ้น
เพื่ออรรถว่าแทงตลอด คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่าสว่างไสว.

จักษุเป็นธรรม ญาณเป็นธรรม ปัญญาเป็นธรรม วิชชาเป็นธรรม
แสงสว่างเป็นธรรม ธรรม 5 ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของธรรม-
ปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่านั้นเป็น
โคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรม
เหล่านั้นเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณใน
ธรรมทั้งหลายว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ความเห็นเป็นอรรถ ความรู้เป็นอรรถ ความทราบชัดเป็นอรรถ
ความแทงตลอดเป็นอรรถ ความสว่างไสวเป็นอรรถ อรรถ 5 ประการนี้
เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของ
อรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใด
เป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิทา
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในอรรถทั้งหลายว่า อรรถปฏิสัมภิทา.
การกล่าวพยัญชนนิรุตติเพื่อแสดงธรรม 5 ประการ การกล่าวพยัญชน-
นิรุตติเพื่อแสดงอรรถ 5 ประการ นิรุตติ 10 ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็น
โคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใด เป็นอารมณ์ของนิรุตติปฏิ-
สัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทาธรรมและอรรถ
เหล่าใดเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของ
นิรุตติปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในนิรุตติทั้งหลายว่า นิรุตติ-
ปฏิสัมภิทา.
ญาณ 20 ประการนี้ คือ ญาณในธรรม 5 ประการ ญาณในอรรถ
5 ประการ ญาณในนิรุตติ 10 ประการ เป็นอารมณ์ และเป็นโคจรของ

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา
ญาณในธรรมเหล่านั้นเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่าใด
เป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของ
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลายว่า
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา.
[603] จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแลควรกำหนดรู้ ฯลฯ
เรากำหนดรู้แล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น ญาณเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น วิชชาเกิดขึ้น
แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร ?
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่าเห็น...คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้น
เพราะอรรถว่าสว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม...แสงสว่างเป็นธรรม ธรรม 5 ประการนี้ เป็น
อารมณ์และเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา...เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณ
ในปฏิภาณทั้งหลายว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ในทุกขอริยสัจมีธรรม 15 มีอรรถ
15 มีนิรุตติ 30 มีญาณ 60.
[604] จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคย
ได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยสัจ ฯลฯ จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละ ฯลฯ
เราละได้แล้ว ฯลฯ ในทุกขสมุทัยอริยสัจ มีธรรม 15 มีอรรถ 15 มีนิรุตติ
30 มีญาณ 60.
จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน
ว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย

ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง ฯลฯ
เราทำให้แจ้งแล้ว ฯลฯ ในทุกขนิโรธอริยสัจ มีธรรม 15 มีอรรถ 15 มีนิรุตติ
30 มีญาณ 60.
จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง
มาก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯลฯ เรา
เจริญแล้ว ฯลฯ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ มีธรรม 15 มีอรรถ 15
มีนิรุตติ 30 มีญาณ 60 ในอริยสัจ 4 มีธรรม 60 มีอรรถ 60 มีนิรุตติ 160
มีญาณ 240.
[605] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า การพิจารณาเห็นกาย ในกายนี้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง
มาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกาย ในกายนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯลฯ เราเจริญ
แล้ว การพิจารณาเห็นเวทนา ในเวทนาทั้งหลายนี้ ฯลฯ การพิจารณาเห็นจิต
ในจิตนี้ ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย
ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง
มาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นธรรม ในธรรมทั้งหลายนี้นั้นแล ควรเจริญ ฯลฯ
เราเจริญแล้ว.
จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยได้ฟัง
มาก่อนว่า การพิจารณาเห็นกายในกายนี้ ฯลฯ จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้น
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นกายในกายนี้

นั้นแลควรเจริญ ฯลฯ เราเจริญแล้ว คำว่า จักษุเกิดขึ้น ญาณเกิดขึ้น ปัญญา
เกิดขึ้น วิชชาเกิดขึ้น แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะอรรถว่ากระไร ?
คำว่า จักษุเกิดขึ้น เพราะอรรถว่าเห็น คำว่า ญาณเกิดขึ้น เพราะอรรถ
ว่ารู้ คำว่า ปัญญาเกิดขึ้น เพราะอรรถว่าทราบชัด คำว่า วิชชาเกิดขึ้น เพราะ
อรรถว่าแทงตลอด คำว่า แสงสว่าง เกิดขึ้น เพราะอรรถว่าสว่างไสว.
จักษุเป็นธรรม ญาณเป็นธรรม ปัญญาเป็นธรรม วิชชาเป็นธรรม
แสงสว่างเป็นธรรม ธรรม 5 ประการนี้ เป็นอารมณ์และโคจรแห่งธรรม-
ปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่านั้น
เป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา ธรรมเหล่าใดเป็นโคจรของธรรมปฏิสัมภิทา
ธรรมเหล่านั้น เป็นอารมณ์ของธรรมปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณ
ในธรรมทั้งหลายว่า ธรรมปฏิสัมภิทา.
ความเห็นเป็นอรรถ ความรู้เป็นอรรถ ความทราบชัดเป็นอรรถ ความ
แทงตลอดเป็นอรรถ ความสว่างไสวเป็นอรรถ อรรถ 5 ประการนี้ เป็นอารมณ์
และเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิ-
ทา อรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของอรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่าใดเป็นโคจรของ
อรรถปฏิสัมภิทา อรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของอรรถปฏิสัมภิทา เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงเรียกญาณในอรรถทั้งหลายว่าอรรถปฏิสัมภิทา.
การกล่าวพยัญชนนิรุตติเพื่อแสดงธรรม 5 ประการ การกล่าวพยัญชน-
นิรุตติเพื่อแสดงอรรถ 5 ประการ นิรุตติ 10 ประการนี้ เป็นอารมณ์และเป็นโคจร
ของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใดเป็นอารมณ์ของนิรุตติปฏิสัมภิทา
ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่าใด

เป็นโคจรของนิรุตติปฏิสัมภิทา ธรรมและอรรถเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของนิรุตติ-
ปฏิสัมภิทาเพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในนิรุตติทั้งหลายว่านิรุตติปฏิสัมภิทา.
ญาณ 20 ประการ คือ ญาณในธรรม 5 ประการ ญาณในอรรถ 5
ประการ ญาณในนิรุตติ 10 ประการ เป็นอารมณ์และเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิ-
สัมภิทา ญาณในธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรม
เหล่านั้นเป็นโคจรของปฏิภาณปฏิสัมภิทา ญาณในธรรเหล่าใดเป็นโคจรของ
ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ในธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของปฏิภาณปฏิสัมภิทา
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลายว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ใน
สติปัฏฐาณคือการพิจารณาเห็นกายในกาย มีธรรม 15 มีอรรถ 15 มีนิรุตติ 30
มีญาณ 60 การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายนี้ ฯลฯ การพิจารณา
เห็นจิตในจิตนี้ ฯลฯ.
จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมา
ก่อนว่า การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้ ฯลฯ จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง
เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ก็การพิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมทั้งหลายนี้นั้น ควรเจริญ ฯลฯ เราเจริญแล้ว ฯลฯ ในสติปัฏฐานคือมี
การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีธรรม 15 มีอรรถ 15 มีนิรุตติ 30
มีญาณ 60 ในสติปัฏฐาน 4 มีธรรม 60 มีอรรถ 60 มีนิรุตติ 120 มี
ญาณ 240.
[606] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วย
ฉันทะและปธานสังขารนี้ ฯลฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและ
ปธานสังขารนี้ ฯลฯ อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยจิตและปธานสังขารนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เรา
ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธาน-
สังขารนี้ ฯลฯ จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้
ฟังมาก่อนว่า ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้
นั้นแล ควรเจริญ ฯลฯ เราเจริญแล้ว.
[607] จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคย
ได้ฟังมาก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้
ฯลฯ จักษุ ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า
ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและปธานสังขารนี้นั้นแล ควร
เจริญ ฯลฯ เราเจริญแล้ว คำว่า จักเกิดขึ้น... แสงสว่างเกิดขึ้น เพราะ
อรรถว่าสว่างไสว...
จักษุเป็นธรรม...เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกญาณในปฏิภาณทั้งหลาย
ว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ในอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยฉันทะและ
ปธานสังขาร มีธรรม 15 มีอรรถ 15 มีนิรุตติ 30 มีญาณ 60 ฯลฯ อิทธิบาท
ประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิริยะและปธานสังขารนี้ ฯลฯ อิทธิบาทประกอบ
ด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยจิตและปธานสังขารนี้.
จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมา
ก่อนว่า อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้ ฯลฯ
จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า
ก็อิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสาและปธานสังขารนี้นั้นแล ควร
เจริญ ฯลฯ เราเจริญแล้ว ฯลฯ ในอิทธิบาทประกอบด้วยสมาธิอันยิ่งด้วยวิมังสา

และปธานสังขาร มีธรรม 15 มีอรรถ 15 มีนิรุตติ 30 มีญาณ 60 ใน
อิทธิบาท มีธรรม 60 มีอรรถ 60 มีนิรุตติ 120 มีญาณ 240.
[608] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า สมุทัย สมุทัย ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายทีพระวิปัสสีโพธิสัตว์
ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นิโรธ นิโรธ ในไวยากรณภาษิตของพระวิปัสสีโพธิ-
สัตว์ มีธรรม 10 มีอรรถ 10 มีนิรุตติ 20 มีญาณ 40.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลาย
ที่พระสิขีโพธิสัตว์ ฯลฯ พระเวสสภูโพธิสัตว์ ฯลฯ พระกกุสันธโพธิสัตว์ ฯลฯ
พระโกนาคมน์โพธิสัตว์ ฯลฯ พระกัสสปโพธิสัตว์ ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า
สมุทัย สมุทัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรม
ทั้งหลายที่พระกัสสปโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นิโรธ นิโรธ ในไวยกรณ-
ภาษิตของพระกัสสปโพธิสัตว์ มีธรรม 10 มีอรรถ 10 มีนิรุตติ 20 มีญาณ 40.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่
พระโคดมโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า สมุทัย สมุทัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
จักษุ ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระโคดมโพธิสัตว์ไม่เคยได้ฟัง
มาก่อนว่า นิโรธ นิโรธ ในไวยากรณภาษิตของพระโคดมโพธิสัตว์ มีธรรม
10 มีอรรถ 10 มีนิรุตติ 20 มีญาณ 40.
ในไวยากรณภาษิต 7 ของพระโพธิสัตว์ 7 องค์ มีธรรม 70 มี
อรรถ 70 มีนิรุตติ 140 มีญาณ 280.
[609] จักษุ... แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่ารู้ยิ่งแห่งอภิญญา
เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา

อรรถว่ารู้ยิ่ง ที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญาไม่มี ในอรรถว่ารู้ยิ่งแห่งอภิญญา
มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100 ฯลฯ อรรถว่ากำหนด
รู้แห่งปริญญา ฯลฯ อรรถว่าละแห่งปหานะ ฯลฯ อรรถว่าเจริญแห่ง
ภาวนา ฯลฯ.
จักษุ... แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่าทำให้แจ้งแห่งสัจฉิกิริยา เรา
รู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา
อรรถว่าทำให้แจ้ง ที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอรรถว่าทำให้แจ้ง
แห่งสัจฉิกิริยา มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100 ในอรรถ
ว่ารู้ยิ่งแห่งอภิญญา ในอรรถว่ากำหนดรู้แห่งปริญญา ในอรรถว่าละแห่งปหานะ
ในอรรถว่าเจริญแห่งภาวนา ในอรรถว่าทำให้แจ้งแห่งสัจฉิกิริยา มีธรรม 125
มีอรรถ 125 มีนิรุตติ 250 มีญาณ 500.
[610] จักษุ... แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่ากองแห่งขันธ์ทั้งหลาย
เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วย
ปัญญา อรรถว่ากอง ที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอรรถว่ากอง
แห่งขันธ์ทั้งหลาย มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 ญาณ 100 จักษุ
ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่าทรงไว้แห่งธาตุทั้งหลาย ฯลฯ อรรถว่า
บ่อเกิดแห่งอายตนะทั้งหลาย อรรถว่าปัจจัยปรุงแห่งสังขตธรรมทั้งหลาย
อรรถว่าปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว
ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา อรรถว่าปัจจัยไม่ปรุงแต่งที่เราไม่
ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอรรถว่าปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม
มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100 ในอรรถว่ากอง
แห่งขันธ์ทั้งหลาย ในอรรถว่าทรงไว้แห่งธาตุทั้งหลาย ในอรรถว่าบ่อเกิด

แห่งอายตนะทั้งหลาย ในอรรถว่าปัจจัยปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรมทั้งหลาย ใน
อรรถว่าปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรม มีธรรม 125 มีอรรถ 125 มี
นิรุตติ 250 มีญาณ 500.
[611] จักษุ... แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่าทนได้ยากแห่งทุกข์
เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา
อรรถว่าทนได้ยาก ที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอรรถว่าทนได้ยาก
แห่งทุกข์ ธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100 จักษุ ฯลฯ
แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่าเหตุให้เกิดแห่งสมุทัย ฯลฯ อรรถว่าดับแห่งนิโรธ
อรรถว่าเป็นทางแห่งมรรค เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว
ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่าเป็นทางที่เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา
ไม่มี ในอรรถว่าเป็นทางแห่งมรรค มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ
50 มีญาณ 100 ในอริยสัจ มีธรรม 100 มีอรรถ 100 มีนิรุตติ 200
มีญาณ 500.
[612] จักษุ ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่าความแตกฉานใน
อรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว
ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่าความแตกฉานในอรรถ เราไม่ถูก
ต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอรรถว่าความแตกฉานในอรรถแห่งอรรถ
ปฏิสัมภิทา มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100. จักษุ ฯลฯ
แสงสว่างเกิดขึ้นว่า อรรถว่าความแตกฉานในธรรมแห่งธรรมปฏิสัมภิทา
อรรถว่าความแตกฉานในนิรุตติแห่งนิรุตติปฏิสัมภิทา อรรถว่าความแตกฉานใน

ปฏิภาณแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้ง
แล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา อรรถว่าความแตกฉานปฏิภาณ ที่เราไม่
ถูกต้องแล้ว ไม่มี ในอรรถว่าความแตกฉานในปฏิภาณแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา
มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 5. มีญาณ 100 ในปฏิสัมภิทา 4 มี
ธรรม 100 มีอรรถ 100 มีนิรุตติ 200 มีญาณ 400.
[613] จักษุ ฯลฯ แสงสว่างเกิดขึ้น อินทริยปโรปริยัตญาณ เรา
รู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา
อินทริยปโรปริยัตญาณ เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอินทริยปโร-
ปริยัตญาณ มีธรรม 25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100 จักษุ ฯลฯ
แสงสว่างเกิดขึ้นว่า ญาณในฉันทะอันมานอนและกิเลสอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย
ฯลฯ ยมกปาฏิหาริยญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ อนาวรณญาณ เรา
รู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา
อนาวรณญาณ เราไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ไม่มี ในอนาวรณญาณ มีธรรม
25 มีอรรถ 25 มีนิรุตติ 50 มีญาณ 100 ในพุทธธรรม 6 มีธรรม 150
มีอรรถ 150 มีนิรุตติ 300 มีญาณ 600 ในปกรณ์ปฏิสัมภิทา มีธรรม 850
มีอรรถ 850 มีนิรุตติ 1,700 มีญาณ 3,400 ฉะนี้แล.
จบปฏิสัมภิทากถา

ปฏิสัมภิทากถา


อรรถกถาธรรมจักกัปปวัตตนวาระ


บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความซึ่งยังไม่เคยพรรณนามาก่อน แห่ง
ปฏิสัมภิทากถา อันมีธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงถึงประเภทแห่งปฏิสัมภิทามรรค สำเร็จลงด้วยอำนาจเเห่งมรรค
อันได้แก่วิราคะ ตรัสไว้แล้ว.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตร ดังต่อไปนี้. บทว่า พาราณสิยํ คือ
มีแม่น้ำชื่อว่า พาราณสา. กรุงพาราณสีเป็นนครอยู่ไม่ไกลแม่น้ำพาราณสา.
ใกล้กรุงพาราณสีนั้น. บทว่า อิสิปตเน มิคทาเย ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
คือ ชื่อว่าสวนมฤคทายวัน เพราะเป็นที่ให้อภัยแก่มฤคทั้งหลายอันได้ชื่ออย่าง
นั้น ด้วยสามารถแห่งการลง ๆ ขึ้น ๆ ของพวกฤๅษี. เพราะพวกฤษีสัพพัญญู.
เกิดขึ้นแล้ว ๆ ก็ลงไปในป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น อธิบายว่า นั่งประชุมกัน
เพื่อยังธรรมจักรให้เป็นไป แม้พวกฤๅษีปัจเจกพุทธะออกจากนิโรธสมาบัติ
เมื่อล่วงไป 7 วัน จากเงื้อมเขานันทมูลกะ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เหาะมา
ทางอากาศก็ลงไปประชุมกัน ณ ที่นี้ ประชุมกันเพื่อเป็นสุข เพื่ออุโบสถ
ใหญ่ และเพื่ออุโบสถน้อย เมื่อจะกลับไปสู่เขาคันธมาทน์ ก็เหาะไปจากที่นั้น
เพราะเหตุนั้น ด้วยบทนี้ที่นั้นท่านจึงเรียกว่า อิสิปตนะ ด้วยเป็นที่ลง ๆ
ขึ้น ๆ ของพวกฤาษี. บาลีว่า อิสิปทนํ ดังนี้บ้าง.
บทว่า ปญฺจวคฺคิเย ภิกษุเบญจวัคคีย์ (มีพวก 5) คือ พวกของ
ภิกษุ 5 ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า